กรณีศึกษา การประหยัดพลังงานโดยใช้ปั๊มความร้อน (Heat Pump) |
หน้า 1 จาก 3
ระบบทำน้ำร้อนเดิมซึ่งทำความร้อนโดยใช้หม้อไอน้ำเป็นแหล่งกำเนิดความร้อนนั้น
เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพไม่สูงและจะมีประสิทธิภาพต่ำลงเมื่อมีอายุการใช้งา
นที่มากขึ้น
ประกอบกับต้องมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาอุปกรณ์ที่สูงขึ้นตามไปด้วย
การใช้ปั๊มความร้อนทำน้ำร้อนแทนระบบที่ใช้หม้อไอน้ำจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการ
ทำน้ำร้อนลงได้ ทั้งนี้เนื่องจากปั๊มความร้อนเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง
โดยทั่วไปมีค่า COP (Heating) มากกว่า 3 ขึ้นไป
และยังได้ลมเย็นเป็นผลพลอยได้
ซึ่งสามารถนำไปใช้ลดภาระการทำงานของระบบปรับอากาศได้
นอกจากนี้ระบบปั๊มความร้อนยังช่วยลดปริมาณการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกา
รลดการใช้เชื้อเพลิงในการเผาไหม้อันเป็นตัวการทำให้เกิดสภาวะโลกร้อนลงได้อีกด้วย
กลุ่มเป้าหมายหรือกระบวนการผลิตที่สามารถใช้เทคโนโลยีนี้ได้แก่อาคารหรือโรง
งานที่มีการใช้น้ำร้อนที่อุณหภูมิ 50-60 oC
ซึ่งอาจใช้น้ำที่มาจากชุดกำเนิดน้ำร้อน (Hot Water Generator)
ที่แลกเปลี่ยนความร้อนระหว่างน้ำกับไอน้ำของหม้อไอน้ำ
หรือระหว่างน้ำร้อนกับขดลวดทำความร้อน (Electric Heater)
หลักการทำงานของปั๊มความร้อน คือการถ่ายเทความร้อน ไม่ใช่การสร้างความร้อน
กล่าวคือปั๊มความร้อนทำงานโดยการดึงความร้อนจากแหล่งความร้อน
แล้วนำไปถ่ายเทในบริเวณที่ต้องการความร้อน
ด้วยเหตุนี้จึงถูกเรียกว่าปั๊มความร้อน
เนื่องจากทำหน้าที่ในการปั๊มเอาความร้อนจากแห่งหนึ่งไปยังอีกแห่งหนึ่ง
วัฏจักรการทำงานมีลักษณะเช่นเดียวกับระบบการทำความเย็นแบบอัดไอ
(Mechanical Vapor Compression Refriegeration System) ดังรูปที่ 1
ต่างกันเพียงแต่ปั๊มความร้อนจะเลือกใช้ประโยชน์จากด้านความร้อนเป็นหลัก
และควบคุมอุณหภูมิด้านความร้อนแทนด้านความเย็น
และได้ความเย็นเป็นผลพลอยได้ของระบบ
ปั๊มความร้อนจะทำหน้าที่ส่งผ่านความร้อนจากแหล่งความร้อนไปยังด้านที่รั
บความร้อน ซึ่งถ้าส่งความร้อนไปเรื่อยๆ อีกฝั่งก็จะร้อนขึ้น
และเมื่อสะสมมากๆ
จะสามารถมีอุณหภูมิสูงขึ้นจนมากกว่าอุณหภูมิของแหล่งความร้อน
ตัวอย่างเช่นอุณหภูมิของอากาศหรือความร้อนภายนอกอาคารนั้นสูงเพียง 34 oC
แต่ปั๊มความร้อนซึ่งมีสารทำงานในวงจรที่สามารถดูดความร้อนจากอากาศแล้วไปถ่า
ยเทให้กับบริเวณหรือตัวกลางที่ต้องการทำความร้อนเช่น น้ำ
ซึ่งสามารถสะสมความร้อนได้จนอุณหภูมิสูงตามความต้องการที่ออกแบบไว้
เช่นกรณีของน้ำร้อนที่ใช้ในโรงแรม สามารถทำได้สูงถึง 60 oC
รูปที่ 1 - วัฎจักรการทำความร้อนของปั๊มความร้อน
วัฏจักรการทำงานด้านความเย็นกับความร้อนนั้นจะเชื่อมโยงกันด้วยสารทำงาน
(Working Substance – HCFC R22 หรือ HFC 134a)
โดยเริ่มจากการทำงานของคอมเพรสเซอร์
ซึ่งสารทำงานจะถูกอัดเพื่อเพิ่มอุณหภูมิและความดัน
จากนั้นสารทำงานถูกนำมากลั่นในคอนเดนเซอร์
(สารทำงานคายความร้อนออกไปให้กับน้ำ ทำให้ได้น้ำร้อน)
จนได้ของเหลวความดันสูง หลังจากนั้น จะถูกลดความดันในเอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว
จนสารทำงานบางส่วนกลายเป็นไอหรือพร้อมที่จะระเหยเมื่อได้รับความร้อนจากแหล่งความร้อนในอีแวปเปอร์เรเตอร์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่า
ระบบบปั๊มความร้อนมีการใช้พลังงานเพื่อขับคอมเพรสเซอร์และพัดลมที่บริเวณอีแวปเปอร์เรเตอร์หรือคอนเดนเซอร์
และอาจมีการใช้พลังงานที่ปั๊มน้ำสำหรับระบบที่ถังน้ำ
แยกเป็นคนละส่วนกับปั๊มความร้อนเท่านั้น
ปั๊มความร้อนสามารถทำน้ำร้อนทดแทนการใช้น้ำมันหรือก๊าซธรรมชาติในการผลิตน้ำ
ร้อนได้ ปั๊มความร้อนเป็นระบบที่มีค่าสัมประสิทธิ์การทำงาน (COP) สูง
โดยทั่วไปมีค่ามากกว่า 3 (คิดเฉพาะการทำความร้อน)
ทำให้ประหยัดพลังงานเมื่อเทียบกับการผลิตน้ำร้อนโดยใช้หม้อต้นน้ำที่ใช้น้ำม
ันหรือก๊าซธรรมชาติซึ่งมีค่า COP ประมาณ 0.75 – 0.95
(ซึ่งหากนำลมเย็นที่ได้ไปใช้ประโยชน์ ค่า COP
รวมทั้งการทำความร้อนและการทำความเย็นก็จะสูงขึ้นอีกเป็นเท่าตัว)
ส่วนประกอบของปั๊มความร้อน
ระบบปั๊มความร้อนตามความหมายของ ARI (Air Condition and Refriegeration Institute) จะประกอบด้วยอุปกรณ์หลักดังนี้
• คอนเดนเซอร์ มีหน้าที่ระบายความร้อนจากสารทำงานไปสู่แหล่งระบายความร้อน
• อีแวปเปอร์เรเตอร์ ทำหน้าที่ดูดความร้อนจากแหล่งความร้อน
• คอมเพรสเซอร์ ทำหน้าที่อัดไอของสารทำงาน (Working
Substance) ให้มีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิรอบคอนเดนเซอร์
เพื่อจะถ่ายเทความร้อนออกจากสารทำงาน
• เอ็กซ์แพนชั่นวาล์ว หรืออาจเรียกว่าวาล์วขยายตัว
ในกรณีที่ระบบมีขนาดเล็กจะใช้ท่อขนาดเล็ก (Capillary Tube) แทน
มีหน้าที่ลดความดันของสารทำงาน
• อุปกรณ์เสริม ได้แก่ ถังน้ำหุ้มฉนวน
มีหน้าที่สำคัญสองประการด้วยกันคือ
กักเก็บน้ำเพื่อให้เพียงพอกับความต้องการของอาคาร
และเพื่อแบ่งระดับอุณหภูมิน้ำในกรณีที่มีมากกว่าหนึ่งถัง
นอกจากนั้นจะมีอุปกรณ์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ปั๊มน้ำ ชุดควบคุมและวัดความดัน
ชุดควบคุมและวัดอุณหภูมิ ชุดควบคุมและตรวจวัดค่าทางไฟฟ้า
การบำรุงรักษา คล้ายกับระบบปรับอากาศ
ซึ่งทำได้โดยการทำความสะอาดคอนเดนเซอร์ อีแวปเปอร์เรเตอร์
และครีบระบายความร้อนเพื่อให้การถ่ายเทความร้อนมีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยทั่วไปจะใช้ลมเป่า และหมั่นตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ
<< หน้าแรก < ย้อนกลับ 1 2 3 หน้าถัดไป > หน้าสุดท้าย >> |